ทำความรู้จักกับ Music Streaming คืออะไร เปรียบเทียบ 3 ค่ายยักษ์ Spotify, Apple Music และ Joox
Music Streaming คืออะไร อาจต้องเกริ่นก่อนว่าในการฟังเพลงรูปแบบดั้งเดิม อาจย้อนไปถึงยุคอนาล็อก นับจากแผ่นเสียง ตามมาด้วยเทปคาสเซ็ท ต่อมาในยุคดิจิทัลเริ่มจาก แผ่นซีดี ตามมาด้วยไฟล์ออดิโอในรูปแบบต่างๆ เช่น mp3 จนกระทั่งมิติของการฟังเพลงในยุคปัจจุบันคือ Music Streaming นั่นเอง
Music Streaming คืออะไร มีบริการอะไรบ้าง
Music Streaming คือการฟังเพลงในรูปแบบออนไลน์ โดยใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลาง ลักษณะเหมือนการเช่าเพลงฟัง ซึ่งเป็นที่นิยมในยุคนี้ การเกิดมาของ Music Streaming นั้น ช่วยลดการละเมิดลิขสิทธิ์ได้ในระดับหนึ่ง เพราะมิวสิกสตรีมมิ่งบางเจ้าเปิดบริการให้ฟังได้ฟรี ถึงแม้จะดาวน์โหลดเก็บไว้ฟังได้ แต่ก็ไม่อนุญาตให้แจกจ่ายไฟล์เหมือนกับการส่งต่อ mp3 แบบเมื่อก่อน นับว่าเป็นช่องทางหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนศิลปินได้เช่นกัน มีบริการชื่อดังอย่าง Apple Music และ Joox ล่าสุดน้องใหม่ที่เปิดตลาดในไทยล่าสุด คือ Spotify แต่ให้บริการมานานแล้วตั้งแต่ปี 2008
ข้อดีของการฟังเพลงแบบ Music Streaming
- มีราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับการซื้อขาด
- สามารถดาวน์โหลดเก็บไว้ฟังแบบออฟไลน์ได้
- ได้ฟังเพลงใหม่ๆ และมีเพลงอัพเดตเรื่อยๆ
- มีการจัดหมวดหมู่เพลย์ลิสต์แบ่งให้ตามความสนใจ
แต่ก็ยังมีการถกเถียงกันว่า Music Streaming นั้น มีส่วนช่วยในอุตสาหกรรมเพลงจริงหรือไม่ ในปี 2014 ศิลปินชื่อดังอย่าง Taylor Swift ได้ถอดเพลงของเธออกทั้งหมดออกจาก Spotify บริการมิวสิกสตรีมมิ่งชื่อดัง เนื่องจากเธอเคยให้สัมภาษณ์ว่ามิวสิคสตรีมมิ่ง ทำให้ยอดการจำหน่ายเพลงผ่านช่องทางอื่นลดลงไป และศิลปินได้เงินจำนวนไม่มากจากบริการมิวสิคสตรีมมิ่ง แต่หลังจากนั้นในกลางปี 2017 Taylor Swift ก็ได้ปล่อยเพลงของเธอให้ฟังบน Spotify อีกครั้ง
ซึ่งในมุมของของนักการตลาด นั้นการที่จะเกิดการซื้อเพลงหรืออัลบั้มได้ ต้องมีการ Awareness สำหรับเพลงคือการฟัง แต่จะหาฟังได้จากที่ไหนล่ะ วิธีหาฟังเพลงดั้งเดิมอาจเป็นวิทยุ แต่ในยุคนี้แน่นอนว่าเป็น YouTube หรือจากแหล่งอื่นๆ ในออนไลน์ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Music Streaming นั่นเอง ถ้าหากเกิดชอบเพลงที่ถูกใจมากๆ อาจถึงขั้นสั่งซื้ออัลบั้มของศิลปินในดวงใจก็เป็นได้
เปรียบเทียบ Spotify, Apple Music และ Joox บริการ Music Streaming ในไทย
เมื่อเปรียบเทียบบริการฟังเพลงจาก 3 เจ้ายักษ์ในไทย ทั้ง Spotify, Apple Music และ Joox สรุปจุดเด่นของแต่ละเจ้าได้ดังนี้
จุดเด่นของ Spotify
- ฟังเพลงได้แบบฟรี แต่มีโฆษณา ฟังบนเดสก์ท็อปสามารถเลือกเพลง และข้ามเพลงได้ แต่บนมือถือ เล่นเพลงแบบสุ่ม และกดข้ามเพลงได้เพลง 6 ครั้ง ต่อ 1 ชั่วโมง
- ค่าบริการรายเดือนแบบพรีเมี่ยมราคา 129 บาท และแบบครอบครัว (สูงสุดรวม 6 คน) ราคา 199 บาท ต่อเดือน
- เพลงสากลมีจำนวนมาก เพลงไทยมีทั้งค่ายแกรมมี่ และ RS
- บิตเรต คุณภาพไฟล์เสียงที่ดีที่สุดคือ 320 kbps ซึ่งเป็นบิตเรตที่ดีที่สุดของสกุลไฟล์ mp3
จุดเด่นของ Apple Music
- ค่าบริการรายเดือน 129 บาท และแบบครอบครัวสูงสุด 6 คน ราคา 199 บาท
- มีราคาสำหรับนักศึกษาอยู่ที่ 69 บาท ต่อเดือน
- คุณภาพเสียง 256 kbps สกุลไฟล์ AAC
- มีเพลงสากลเป็นจำนวนมาก รวมถึงเพลงไทยด้วย
จุดเด่นของ Joox
- ฟังเพลงได้ฟรีแต่ มีโฆษณาคั่น
- มีราคาให้เลือกหลายหลายตั้งแต่ 69 บาท/อาทิตย์, 129 บาท/เดือน, 639บาท/6 เดือน และ 1099 บาท/ปี
- คุณภาพไฟล์เสียงสูงสุดแบบ Hifi ซึ่งเป็นแบบ lossless บิตเรต 900-1411 kbps แต่มีเพียงบางเพลงเท่านั้น
- มีเพลงไทยมากมาย และมีเพลงค่าย RS ซึ่ง
Spotifyและ Apple Music ยังไม่มีเพลงของค่ายนี้ (อัพเดต 17-01-2018 Spotify มีเพลงไทยค่าย RS และ RSiam แล้ว)
เรียกได้ว่าคงถูกอกถูกใจกับคนชอบเสียงเพลงอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ยิ่งมีบริการมิวสิกสตรีมมิ่งใหม่ๆ ก็จะทำให้เกิดการแข่งขัน ทั้งด้านราคาและคุณภาพ นับว่าเป็นผลดีต่อผู้บริโภคไม่มากก็น้อย แล้วคุณล่ะเลือกฟังเพลงจากบริการ Music Streaming เจ้าไหนกันบ้าง?
ติดตามข่าวสารจาก Digitalmarketing Wow ได้ที่ Facebook, Twitter และ Line @marketingwow