ทำไมถึงต้อง วางแผน Digital Marketing สำคัญแค่ไหน มีประโยชน์อะไรบ้าง

 In Digital Marketing, Digital Planning

วางแผน Digital Marketing นับว่าเป็นการทำ Digital Planning ในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งการวางแผนนั้นนับว่าเป็นส่วนสำคัญของการทำ Digital Marketing เลยทีเดียว เพราะเป็นการกำหนดทิศทางว่าจะต้องทำอย่างไร ใช้เครื่องมือแบบ ไหน ตั้ง KPI เท่าไรดี มาดูกันดีกว่าว่า การวางแผนจะต้องเริ่มต้นได้อย่างไรบ้าง

ทำให้คุณรู้ว่า คุณต้องการอะไร ตั้งเป้าหมายให้มั่น

สิ่งที่คุณควรทำเป็นอันดับแรก คือการตอบตัวเองก่อนว่า การที่คุณมาทำตลาดด้วย Digital Marketing คุณต้องการอะไรเป็นลำดับแรก (Goal) มีเป้าหมายอะไรเป็นลำดับต้นๆ ของการทำ Digital Marketing ในครั้งนี้ ยกตัวอย่างเช่น

  • ถ้าสินค้าของคุณ คือ Consumer Product สินค้าอุปโภค บริโภค การทำ Digital Marketing อาจโฟกัสให้คนจดจำแบรนด์สินค้าได้เป็นหลัก หรือการทำสื่อและกลยุทธ์ที่เน้น Awareness มากกว่าการขายสินค้าบนออนไลน์ เนื่องจากสินค้าอุปโภคบริโภค ลูกค้ามักจะเน้นซื้อสินค้าแบบออฟไลน์มากกว่านั่นเอง
  • แต่ถ้าสินค้าและบริการของคุณ เน้นการลงทะเบียน หรือให้โทรติดต่อเข้ามา แสดงความสนใจ เช่นขายคอร์สเรียน ขายสินค้าบริการที่มีราคาสูง กลยุทธ์อาจเริ่มจากการทำคอนเทนต์ ให้คนเชื่อว่าสินค้าและบริการของคุณดีจริง จากนั้นจึงค่อยหา Lead เพื่อการลงทะเบียน หรือให้ลูกค้าโทรติดต่อเข้ามา

ข้อดีของการวางแผน ทำให้คุณได้รู้ว่าคุณต้องการอะไรจากการทำธุรกิจ ไม่ทำให้คุณหลงทางจากเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้นั่นเอง

วางแผน Digital Marketing ช่วยเลือกใช้เครื่องมือได้ถูกต้อง

วางแผน Digital Marketing

เมื่อคุณมีเป้าหมายในใจเรียบร้อยแล้ว ถัดมาคือการเลือกใช้เครื่องมือให้เหมาะสมกับ Goal หรือเป้าหมายของคุณ เพราะบางเครื่องมือสามารถทำได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Google Adwords, Taboola หรือถ้าเน้นพวก Awareness เป็นพิเศษคงจะหนีไม่พ้น YouTube หรือถ้าเน้นการทำ Inbound Marketing และดูแล CRM โดยเฉพาะ คงจะต้องเป็น HubSpot  ลองมาดูตัวอย่างง่ายๆ

ทำความรู้จักกับ Taboola ให้มากขึ้น คลิก

อัลกอริทึมของ Facebook มีปัจจัยอะไรบ้าง เราควบคุมได้หรือไม่

ศึก GDN วัดกันหมัดต่อหมัด Image Ads กับ Responsive Ads แบบไหนดีกว่ากัน

สำหรับสินค้า Consumer Product สินค้าอุปโภค บริโภค ควรเลือกใช้
  • Facebook สำหรับสร้าง Awareness ขั้นต้น โดยเลือกจุดมุ่งหมายเป็นการเพิ่ม Engagement เป็นหลัก หรืออาจเน้น Reach เพื่อให้คนเห็นมากๆ ก็ย่อมได้
  • Google Adwords ในส่วนของ GDN : Google Display Network เพื่อสร้างการจดจำของแบรนด์
  • YouTube ทำวิดีโอในส่วนของ Bumper Ads หรือ In-Stream Video Ads เพื่อสร้างความจดจำแบรนด์ได้ดียิ่งขึ้น ในรูปแบบของวิดีโอ
สำหรับสินค้า Consumer Product สินค้าอุปโภค บริโภค ไม่ควรเลือกใช้
  • การใช้ Google Adwords ในรูปแบบของ Paid Search เพราะจุดประสงค์ของการทำ Paid Search ไม่ใช่ Awareness แต่เป็น Considerate และสินค้าอุปโภคบริโภค จะเน้นการซื้อสินค้าออฟไลน์เป็นส่วนมาก ยกเว้นเสียแต่ว่าเว็บไซต์ของคุณมีปุ่มให้กดสั่งซื้อ

มี KPI ที่สามารถวัดผลได้ชัดเจน ตั้งเป้า KPI ให้สอดคล้องกับเป้าหมาย

วางแผน Digital Marketing

การทำ Digital Marketing มีข้อดีอย่างหนึ่งที่การตลาดแบบดั้งเดิมทำได้ยากคือการวัดผล คุณสามารถวัด KPI ได้ง่ายมาก ไม่ว่าจะเป็น จำนวนครั้งที่โฆษณาแสดงออกไป จำนวนครั้งที่มีการรับชมวิดีโอ จำนวนคลิก ฯลฯ

KPI นั่นมีหลายรูปแบบ ดังที่กล่าวไปด้านบนคือ KPI แบบพื้นฐานที่สามารถวัดได้ แต่จะให้ลึกไปกว่านั้น ก็วัดได้เช่นกัน เช่นการวัดเป็น Conversions หรือ Cost per Conversion หรือถ้าต้องการขั้นลึกสุดๆ สามารถวัดผลได้ถึงระดับ ROI ได้

ส่วนการตั้งเป้า KPI นั้น ขึ้นอยู่กับเป้าหมายที่เราตั้งไว้ เช่นเป้าหมายของคุณคือการลงทะเบียนเพื่อเข้าสมัครเรียนคอร์สต่างๆ การวัดเป้าหมายควรเป็น Conversions เป็นหลักเราตั้งค่าได้ว่าต่อการสมัครเพื่อลงทะเบียนเรียน 1 User = 1 Conversions พอเราทำโฆษณาที่สนับสนุนการลงทะเบียนเรียนนี้ก็จะวัดผลได้ง่ายขึ้นนั่นเอง

อยากบรีฟเอเจนซีให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ต้องบรีฟอย่างไร แค่ไหนถึงจะดี

ทำให้รู้งบประมาณที่เหมาะสมกับการทำ Digital Marketing และควบคุมค่าใช้จ่ายได้ง่ายกว่า

วางแผน Digital Marketing

พอเราตั้ง KPI ไว้แล้ว เรามาดูว่างบประมาณที่เรามีอยู่ จะพาเราไปถึง KPI ที่เราตั้งไว้ได้หรือไม่ ต่อเนื่องจากด้านบน ถ้าหากว่า เราลองคิดแบบง่ายๆ

  • ตั้ง KPI ไว้ว่าต้องให้เกิด Conversions อย่างน้อยอยู่ที่ 50 Conversions ต่อเดือน
  • มีงบประมาณสำหรับ โปรโมตให้เกิด Conversions อยู่ที่ 10,000 บาท ต่อเดือน
  • ดังนั้นเฉลี่ยแล้ว Cost per Conversion จึงควรอยู่ที่ (10,000/50) = 200 บาท ต่อ Conversion

ตั้ง KPI Digital Marketing อย่างไรดี ถึงจะเหมาะสมกับแต่ละธุรกิจ

ถ้าหากเราลองทำโฆษณาไปสักระยะหนึ่ง แล้วพบว่า Cost per Conversions ต่ำกว่า 200 บาท นั่นหมายความว่า คุณมีแนวโน้มจะได้มากกว่า 50 Conversions ต่อเดือน แต่ถ้า Cost per Conversions สูงกว่า 200 บาท นั่นหมายถึงคุณอาจจะได้ Conversions ทั้งเดือนต่ำกว่า 50 Conversions ซึ่งคุณต้องหาทางแก้ เช่นอาจเพิ่มเงินให้มากขึ้น, ปรับ Bid ให้ลดลง หรืออาจลองเปลี่ยนเป็นเครื่องมืออื่นๆ

และถ้าคุณต้องวางแผน Digital Marketing ในให้ลึกมากยิ่งขึ้น สามารถดาวน์โหลดเทมเพลตการวางแผนการตลาดได้ด้วยตัวเอง ภายในหนึ่งหน้า โดยคลิกที่แบนเนอร์ด้านล่างได้เลย

New call-to-action

ที่มาบางส่วนจาก [1], [2]

Recommended Posts